พวกเราเป็นเทรดเดอร์

8 รูปแบบกราฟหุ้น และแนวทางการเทรดที่นักเทรดต้องรู้สำหรับการเทรดรายวัน

ด้วย Team Exness

stock chart patterns.jpg

ในวงการเทรด การทำความเข้าใจรูปแบบกราฟหุ้นเป็นทักษะพื้นฐานสำหรับนักลงทุนและนักเทรด รูปแบบเหล่านี้เกิดขึ้นจากการเคลื่อนไหวของราคาบนกราฟ ช่วยให้เราสามารถวิเคราะห์แนวโน้มของตลาดในอนาคต 

ในบทความนี้ เราจะชวนคุณมาดู 8 รูปแบบกราฟหุ้น และแนวทางการเทรดที่นักเทรดต้องรู้สำหรับการเทรดรายวัน เทรดเดอร์สามารถเพิ่มความสามารถในการตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลและคว้าโอกาสในการซื้อขายรายวัน เพราะหากนักเทรดเข้าใจและสามารถระบุรูปแบบและวิเคราะห์กราฟได้ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้

รูปแบบกราฟหุ้นคืออะไร?

ในวงการเทรดหุ้น Forex หรือ สินค้าโภคภัณฑ์ รูปแบบกราฟหุ้น (chart pattern) คือ การกำหนดค่าที่เกิดซ้ำซึ่งสังเกตได้จากกราฟราคาสินทรัพย์เหล่านั้น การกำหนดค่าเหล่านี้ถูกกำหนดตามการเคลื่อนไหวของราคาในช่วงเวลาหนึ่ง และมักถูกมองว่าเป็นสัญญาณเบื้องต้นที่บ่งบอกถึงแนวโน้มราคาในอนาคต นักเทรดจะวิเคราะห์รูปแบบเหล่านี้เพื่อหาโอกาสในการเทรด โดยอาศัยข้อมูลทางประวัติศาสตร์และแนวโน้ม เพื่อคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาในอนาคต

โดยรูปแบบกราฟสามารถแบ่งออกเป็นกลุ่มต่างๆ เช่น รูปแบบต่อเนื่อง (continuation pattern) ซึ่งบ่งบอกถึงการพักตัวชั่วคราวของแนวโน้มเดิมก่อนที่จะกลับมาเป็นแนวโน้มเดิมอีกครั้ง และรูปแบบการกลับตัวของแนวโน้ม (reversal pattern) ซึ่งเป็นสัญญาณที่อาจเปลี่ยนทิศทางของราคา นักเทรดใช้ประโยชน์จากรูปแบบกราฟที่หลากหลายนี้ ซึ่งแต่ละประเภทกราฟก็จะมีลักษณะเฉพาะและสัญญาณที่แตกต่างกัน เพื่อช่วยในการตัดสินใจขณะเทรด

รูปแบบกราฟสำหรับภาวะขาขึ้น (Bullish) และภาวะขาลง (Bearish)

รูปแบบกราฟขาขึ้นและขาลงมีความแตกต่างกันตามสัญญาณที่บ่งบอกถึงแนวโน้มราคาในอนาคต โดยทั่วไปรูปแบบภาวะขาขึ้น (Bullish) จะก่อตัวในแนวโน้มขาขึ้น และถูกมองว่าเป็นสัญญาณที่อาจทำให้แนวโน้มนั้นยังคงดำเนินต่อไป รูปแบบเหล่านี้มักเชื่อมโยงกับการคาดการณ์ว่าราคาจะปรับตัวสูงขึ้นและนักลงทุนมีความมั่นใจมากขึ้น ตัวอย่างเช่น จุด "ต่ำที่สูงขึ้น" (higher low) ในแนวโน้มขาขึ้น อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าราคาจะปรับตัวสูงขึ้นในเร็วๆ นี้ ซึ่งบ่งชี้ถึงโอกาสในการซื้อสำหรับนักเทรด

ในทางกลับกัน รูปแบบภาวะขาลง (Bearish pattern) จะปรากฏในช่วงที่ราคาอยู่ในแนวโน้มขาลง และถูกตีความว่าเป็นสัญญาณที่อาจทำให้แนวโน้มขาลงยังคงดำเนินต่อไป รูปแบบเหล่านี้มักถูกมองว่าเป็นตัวชี้วัดแรงขายที่เพิ่มขึ้นและความไม่แน่นอนของตลาด ตัวอย่างเช่น รูปแบบ "หัวและไหล่" (head and shoulders) ในแนวโน้มขาลง อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าราคาจะลดลงในอนาคต ซึ่งกระตุ้นให้นักเทรดพิจารณาการขายสินทรัพย์

กล่าวโดยสรุป คือ รูปแบบตัวชี้วัดทางเทคนิคแบบภาวะขาขึ้น (Bullish) มักบ่งชี้ว่ามีโอกาสที่ราคาจะเพิ่มขึ้นสูง ในขณะที่รูปแบบภาวะขาลง (Bearish) ชี้ให้เห็นว่ามีโอกาสที่ราคาจะลดลงสูง นักเทรดใช้ความแตกต่างเหล่านี้ในการปรับกลยุทธ์การเทรดให้เหมาะสมกับทิศทางที่คาดการณ์ไว้ของตลาด

รูปแบบกราฟหุ้นประเภทต่างๆ

ประเภทของรูปแบบกราฟหุ้นแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่ รูปแบบต่อเนื่อง (continuation pattern), รูปแบบกลับทิศ (reversal pattern) และ รูปแบบผันผวน (bilateral pattern) ซึ่งแต่ละประเภทของรูปแบบกราฟเหล่านี้ ล้วนให้ข้อมูลที่มีค่าแก่นักเทรดในการวิเคราะห์สภาวะตลาดและโอกาสในการทำกำไรที่อาจเกิดขึ้น

กราฟรูปแบบต่อเนื่อง (Continuation Pattern)

รูปแบบต่อเนื่องจะปรากฏขึ้นในช่วงที่มีแนวโน้มที่ชัดเจน (established trend) และเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงการหยุดพักของราคาชั่วคราวก่อนที่แนวโน้มหลักจะกลับมาดำเนินอีกครั้ง รูปแบบเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าแนวโน้มราคาปัจจุบันน่าจะยังคงดำเนินต่อไปหลังจากช่วงพักตัว (consolidation) 

ตัวอย่างที่พบได้ทั่วไปของรูปแบบต่อเนื่อง ได้แก่ ธง (pennants), ธงด้านคว่ำ (flags), สามเหลี่ยมสมดุล (symmetrical triangles) และ สี่เหลี่ยม (rectangles) เมื่อรูปแบบต่อเนื่องได้รับการยืนยันแล้ว นักเทรดอาจพิจารณาการเปิดสถานะ (opening positions) ไปตามทิศทางของแนวโน้มราคาได้

กราฟรูปแบบกลับทิศ (Reversal Pattern)

รูปแบบกลับทิศ เป็นรูปแบบกราฟที่เกิดการฟอร์มตัวแล้วมักตามมาด้วยการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มจากขึ้นเป็นลง หรือจากลงเป็นขึ้น ถือเป็นสัญญาณเตือนสำหรับนักเทรดว่าแนวโน้มมีโอกาสเปลี่ยนแปลงไปแล้ว วอย่างที่รู้จักกันดีของรูปแบบกลับทิศ ได้แก่ head and shoulders, double top, double bottom และ inverse head and shoulders 

นักเทรดจะติดตามรูปแบบเหล่านี้ด้วยความใกล้ชิด เนื่องจากรูปแบบเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณเบื้องต้นของการเปลี่ยนแปลงแนวโน้ม ช่วยให้พวกเขาสามารถเปิดสถานะ (take positions) ในทิศทางตรงกันข้ามกับแนวโน้มเดิมได้

กราฟรูปแบบผันผวน (Bilateral Pattern)

รูปแบบผันผวน จะปรากฏขึ้นเมื่อราคาเคลื่อนไหวภายในช่องแนวนอน ซึ่งบ่งบอกถึงช่วงพักตัว (consolidation) ที่อุปสงค์ (supply) และอุปทาน (demand) อยู่ในระดับที่ค่อนข้างสมดุล รูปแบบเหล่านี้ไม่ได้บ่งบอกถึงการต่อเนื่องหรือกลับทิศของราคา แต่สะท้อนถึงช่วงที่ตลาดยังตัดสินใจไม่ได้ 

ตัวอย่างของรูปแบบผันผวน ได้แก่ สามเหลี่ยมสมดุล (symmetrical triangles), สี่เหลี่ยม (rectangles) และ รูปแบบ Wedges นักเทรดอาจควรพิจารณาการรอสัญญาณการ breakout ที่ชัดเจนจากกรอบราคาผันผวนก่อนตัดสินใจเทรด

การที่นักเทรดเข้าใจประเภทต่างๆ ของรูปแบบกราฟเหล่านี้ และสามารถระบุรูปแบบเหล่านี้บนกราฟราคาได้ จะช่วยเพิ่มความสามารถในการคาดการณ์แนวโน้มราคาในอนาคต และตัดสินใจในการเทรดได้อย่างชาญฉลาดโดยมีข้อมูลครบถ้วน

8 รูปแบบกราฟหุ้นสำหรับการเทรดรายวันที่พบบ่อย

รูปแบบหัวและไหล่ (Head and Shoulders)

รูปแบบหัวและไหล่ (Head and Shoulders) เป็นรูปแบบกลับทิศ (reversal pattern) ที่ปรากฏขึ้นหลังจากราคาปรับตัวขึ้นหรือลงอย่างรวดเร็ว รูปแบบนี้ประกอบด้วยยอด 3 ยอด โดยยอดกลางจะสูงที่สุด (หัว) และมีอีก 2 ยอดด้านข้างที่ต่ำกว่า (ไหล่) รูปแบบนี้บ่งชี้ถึงการกลับตัวของแนวโน้มก่อนหน้าที่อาจเกิดขึ้น

รูปแบบ Double Top

รูปแบบ Double Top เป็นรูปแบบกลับทิศภาวะขาลง (bearish reversal pattern) ที่เกิดขึ้นเมื่อราคาของสินทรัพย์แตะจุดสูงสุด แล้วราคาปรับตัวลดลง (retrace) จากนั้นขึ้นไปแตะระดับที่ใกล้เคียงกับจุดสูงสุดเดิมอีกครั้งก่อนที่จะลดลงต่อ รูปแบบนี้จะแสดงเป็นยอดที่สูงใกล้เคียงกันสองจุด (double top) ซึ่งเป็นสัญญาณที่อาจเกิดการกลับทิศของแนวโน้มขาขึ้น

รูปแบบ Double Bottom

ตรงกันข้ามกับรูปแบบ Double Top โดยรูปแบบ Double Bottom เป็นรูปแบบกลับทิศภาวะขาขึ้น (bullish reversal pattern) ที่ปรากฏขึ้นหลังจากราคาทรุดลง รูปแบบนี้มีลักษณะเป็นจุดต่ำสุดที่ลึกใกล้เคียงกันสองจุด (double bottom) คั่นกลางด้วยยอดเขาที่สูงกว่า แสดงถึงโอกาสที่แนวโน้มขาลงจะกลับทิศ

รูปแบบธง (Pennants)

รูปแบบธง เป็นรูปแบบต่อเนื่อง (continuation pattern) ที่ปรากฏขึ้นหลังจากช่วงที่มีแนวโน้มชัดเจน (established trend) ต่อด้วยช่วงพักตัว (consolidation) ลักษณะของธงคือเส้นแนวโน้ม (trend line) ที่ลู่เข้าหากันจนเป็นรูปทรงคล้ายธง นักเทรดมักรอสัญญาณการ breakout ของเส้นแนวโน้มเพื่อยืนยันการกลับมาของแนวโน้มก่อนหน้า

รูปแบบสามเหลี่ยม

สามเหลี่ยมเป็นรูปแบบต่อเนื่อง (continuation pattern) ที่เกิดขึ้นจากราคาที่แกว่งตัวอยู่ภายในเส้นแนวโน้มที่ลู่เข้าหากัน ซึ่งการ breakout ของสามเหลี่ยมเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณบอกถึงทิศทางราคาในอนาคตได้ รูปแบบสามเหลี่ยมมี 3 ประเภท ได้แก่

  • สามเหลี่ยมสมดุล (symmetrical triangle): ไม่มีแนวโน้มชัดเจน
  • สามเหลี่ยมชี้ขึ้น (ascending triangle): เส้นแนวโน้มด้านล่างมีความชันขึ้น
  • สามเหลี่ยมชี้ลง (descending triangle): เส้นแนวโน้มด้านบนมีความชันลง

รูปแบบก้นถ้วยและหู (Cup and Handle)

รูปแบบถ้วยและหู (cup and handle) เป็นรูปแบบกลับทิศภาวะขาขึ้น (bullish reversal pattern) ที่มีลักษณะคล้ายถ้วยที่มีหู รูปแบบนี้ปรากฏขึ้นหลังจากช่วงขาลง (downtrend) และเป็นสัญญาณที่อาจเกิดการกลับทิศไปเป็นขาขึ้น (uptrend) เส้นแนวรับที่เกิดจากขอบบนของถ้วยมักถูกใช้เป็นสัญญาณการซื้อเมื่อราคา breakout

รูปแบบ Gaps

Gap เกิดขึ้นเมื่อราคาเปิดของสินทรัพย์แตกต่างไปจากราคาปิดของวันก่อนหน้าอย่างมาก ทำให้เกิดช่องว่าง (Gaps) บนกราฟ โดย Gaps สามารถบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันในความเชื่อมั่นของตลาด (market sentiment) และมักถูกเฝ้าติดตามในฐานะสัญญาณการต่อเนื่องหรือกลับทิศของแนวโน้ม

รูปแบบ Wedges

หรือที่รู้จักกันในชื่อสามเหลี่ยมสมมาตร (symmetrical triangles) เป็นรูปแบบต่อเนื่อง (continuation pattern) ที่เกิดขึ้นเมื่อแนวโน้มเดิมชนกับแนวรับหรือแนวต้านที่เอียงลาดลง รูปแบบเหล่านี้บ่งบอกถึงช่วงพักตัว (consolidation) และมักตามมาด้วยการ breakout ไปยังทิศทางใดทิศทางหนึ่ง ซึ่งเป็นสัญญาณการดำเนินต่อไปของแนวโน้ม

การที่นักเทรดสามารถเข้าใจและระบุรูปแบบกราฟเหล่านี้บนกราฟราคาได้ จะช่วยยกระดับความสามารถในการคาดการณ์แนวโน้มราคาในอนาคต และช่วยให้นักเทรดสามารถตัดสินใจในการเทรดได้ดี


ข้อมูลนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำการลงทุน ผลการดำเนินงานที่ผ่านมาไม่อาจใช้เป็นเครื่องบ่งชี้ผลการดำเนินงานในอนาคต เงินลงทุนของคุณมีความเสี่ยง โปรดเทรดอย่างรอบคอบ


ผู้เขียน:

Team Exness

Team Exness